ยุคสมัยการเริ่มต้นการจัดงานแสดง

Académie-pic

งานนิทรรศการนี้มีขึ้นในตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 แต่ในช่วงก่อนหน้านี้ก็มีการจัดแสดงเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบไม่เป็นทางการทั่วไป ในสมัยนั้นเป็นยุคที่ศิลปะกำลังรุ่งเรือง มีศิลปินมากมายที่สร้างสรรค์ผลงานไม่หยุดหย่อน และพวกเขาต้องการสถานที่ในการนำเสนอผลงานของพวกเขา อย่างเช่นงาน Paris Salon ที่จัดขึ้นในอาคาร Académie des Beaux-Arts ซึ่งถือเป็นตัวอย่างงานที่มีชื่อเสียงในขณะนั้น โดยเริ่มต้นโครงการครั้งแรกในปี 1667 และเปิดเป็นสาธารณะในปี 1737 และในปี 1769 ก็ได้มีการจัดงานนิทรรศการใหญ่ Royal Academy Summer Exhibition ขึ้นในกรุงลอนดอน

บ่อยครั้งที่สถาบันในอังกฤษก็ออกมาจัดงานของตัวเองเป็นครั้งคราว ในช่วงปี 1805 จนถึง 1867 โดยปกติจะจัดปีละสองครั้งโดยมีภาพเขียนใหม่ ๆ จากศิลปินอังกฤษมาจัดแสดง รวมถึงภาพวาดที่มีชื่อเสียงที่ไปยืมมาจากหลาย ๆ แห่ง รวมถึงจิตรกรรมสมัยโบราณ (old master) ที่ไปยืมมาจากคลัง Royal Collection ที่เป็นสถานที่เก็บภาพวาด ประติมากรรมเก่าแก่มากมายจากผู้มีอำนาจ ขุนนาง

Beaux-Arts

ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 พิพิธภัณฑ์แห่งชาติแห่งใหม่ของยุโรปได้ถูกสร้างขึ้น และได้จัดงานนิทรรศการของตนเองจากผลงานคอกเลกชั่นของพวกเขา รวมถึงจากที่ยืมมาหลาย ๆ แห่ง ซึ่งเป็นที่นิยมทำกันจนถึงทุกวันนี้ แต่เมื่อพูดถึงงานระดับประเทศอย่าง World Expo หรือ World Fair นั้น มันมีจุดเริ่มต้นมาจากงานแสดงใหญ่ในกรุงลอนดอนปี 1851 ที่จัดขึ้นประจำปี และที่น่าสนใจก็คือหอไอเฟลที่ปารีส ที่สร้างขึ้นมาเพื่องาน Exposition Universelle ปี 1889 โดยเฉพาะ และมันถูกใช้เป็นที่จำหน่ายตั๋วเข้างานอีกด้วย

สำหรับงานนิทรรศการในปัจจุบันนี้นั้น ล้วนแล้วแต่นำผลงานเก่าแก่ที่เคยแสดงกลับมาวางโชว์ใหม่ เพื่อเป้าหมายในการศึกษา และดึงดูดความสนใจต่อสาธารณะชนเป็นหลัก ประติมากรรมชิ้นหนึ่งอาจดึงดูดผู้คนได้มากมาย ปัจจุบันนี้ยังคงมีข้อถกเถียงกันอย่างมากถึงรูปแบบการจัดงานที่เหมาะสมของงานนิทรรศการสมัยใหม่ ว่าควรมีมาตราฐานอย่างไร โดยส่วนใหญ่แล้วจะสามารถแบ่งออกได้เป็นสองชนิดหลัก ๆ ชนิดแรกก็คืองานแสดงที่เน้นเป้าหมายเพื่อการศึกษา ชนิดที่สองเป้าหมายคือการดึงดูดประชาชน ผู้ชม และนักท่องเที่ยว

ในยุคสมัยใหม่ที่โลกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีนี้ เปิดโอกาสให้เราสามารถใช้อินเตอร์เน็ตในการเข้าร่วมงานแสดงออนไลน์บนคอมพิวเตอร์ ผ่านการนำทัวร์ด้วยการถ่ายทอดสดผ่านวีดีโอออนไลน์ทั่วโลก ทำให้ผู้คนที่อยู่ห่างไกลมีโอกาสเข้าถึงงานมากขึ้น ซึ่งบางงานอาจจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วม หรืออาจไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ขึ้นอยู่กับนโยบายของผู้จัดงานว่ากำหนดไว้อย่างไร แต่ถึงอย่างไรบรรยากาศที่ได้ก็ไม่เหมือนกับที่เราได้ไปเห็นกับตาจริง ๆ หรอก